Saturday, June 22, 2013

The Rise of King Bhumibol : two crucial speeches in 1995

May 4, 2012




Timeline Photos



The Rise of King Bhumibol : two crucial speeches in 1995


ถ้าใครติดตาม fb นี้มา อาจจะพอจำได้ว่า ผมเสนอว่า สถานะของสถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ ("ในหลวง") เอง ที่เราเห็นปัจจุบัน เป็นอะไรที่ "ใหม่" กว่าที่เข้าใจกัน นันคือ มีลักษณะอย่างที่เห็น ในระยะประมาณ 2 ทศวรรษที่ผานมา

ผมคิดว่า สิ่งที่เป็น turning point หรือ "จุดหักเลี้ยว" ทีสำคัญ คือ เหตุการณ์ "17 พฤษภา" (2535) ที่มีการถ่ายทอดสด การเรียกสุจินดา-จำลอง เข้าเฝ้า

ก่อนหน้านี ในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ในหลวงจะมีพระราชดำรัสกับ ถนอม อย่างไรบ้าง ไม่มีใครรู้ และอันที่จริง กลายเป็นประเด็นสำคัญ ในช่วง 2516-2519 ฝ่ายถนอมจะพูด "เป็นนัย" ถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา (เรื่องนี้ คงต้องอธิบายในโอกาสอื่น)

ผมเคยเสนอในบทความหนึง เมื่อไม่กี่ปีก่อนว่า เหตุการณ์ "17 พฤษภา" เป็น "เส้นแบ่ง" สำคัญในสถานะของสถาบันกษัตริย์ (ดูบทความ "หลัง 14 ตุลา" ใน ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 ตุลาคม 2548)

ผมคิดว่า ถ้าเรามองเรือ่งนี้ อย่างเป็น "กระบวนการ" มากขึั้น คือ ไมใช่หมายความว่า เหตุการณ์ใดเหตุการณ์เดียว ทำให้เปลี่ยน แต่เป็น "ซีรีส์" (อนุกรม) ของเหตุการณ์

เราอาจจะกล่าวได้ว่า ช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2530 ถึงครึ่งแรกของทศวรรษต่อมา นันคือ ช่วงระหว่างปี 2535-2545 โดยประมาณ เป็น decisive turning point (จุดหักเลี้ยวชี้ขาด) ที่เราได้เห็นการเติบโต (rise) ของสถานะสถาบันกษัตริย์ และขององค์พระมหากษัตริย์ มาสูสภาพปัจจุบัน

ช่วง 5 ปีแรก เริ่มจาก "17 พฤษภา" 2535 และลงเอยที่ "วิกฤติเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง" 2540 เราได้เห็นการที่ในหลวง (ดังที่เพิ่งกล่าวข้างต้น) กลายมาเป็น "savior" (ผมนึกคำไทยที่เหมาะๆไม่ออก คำนี้ ในภาษาอังกฤษ ถ้าใครสนใจคริสตศาสนา อาจจะพอทราบว่า มีความหมายเฉพาะอยู่) ในวิกฤติให่ญ่ 2 ครั้ง คือวิกฤติการเมืองที่มีการใช้อาวุธปราบปรามประชาชนกลางเมือง และวิกฤติเศรษฐกิจใหญ่ ที่เราได้เห็นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ การที่ ในหลาง "ปรากฏ" (emerge) พระองค์ ในฐานะ "นักคิด" (thinker) ที่ "ปรัชญา" หรือ "ข้อเสนอ" เชิงความคิดบางอย่าง ได้กลายมาเป็น "หลักนโยบายสาธารณะ" ของรัฐ (สิ่งทีเรียกว่า "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง")

ช่วง 5 ปีหลัง สถานะของในหลวงได้รับการ consolidated (เสริมสร้างมันคง) ด้วยการที่ทรงปรากฏพระองค์ ในฐานะ "นักเขียน" เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัชสมัย โดยการตีพิมพ์เผยแพร่ "งานเขียน" 4 ชิ้น ติดต่อกัน (ดังทีผมเคยโพสต์กระทู้เมื่อเร็วๆนี้)

ใน "เฝส" แรก (5 ปีแรก) ที่ว่านี้ คือ ระหว่าง พฤษภา 2535 ถึง วิกฤติเศรษฐกิจ 2540 มีเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ในเวลาห่างกันเพียงเดือนเดียว ในปี 2538 ที่ผมเห็นว่า มีความสำคัญอย่างยิ่ง

นั่นคือ ในเดือนสิงหาคม และ กันยายน 2538 ในหลวงทรงมีพระราชดำรัส 2 คร้้งติดๆกัน ที่มีลักษณะพิเศษ ที่ไม่เคยมีมาก่อน นันคือ ทรงออกมาวิจารณ์รัฐบาลในขณะนั้น ตรงๆ ในเรื่องที่เป็น current affairs หรือ เหตุการณ์ปัจจุบัน (ไมใช่ทรงพูดในลักษณะเป็นนัยๆ หรืออ้อมๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในพระราชดำรัส 4 ธันวา - อันที่จริง พระราชดำรัส 4 ธันวา เอง ก็เริ่มมีความสำคัญจริงๆ ในช่วงทศวรรษ 2530 โดยเฉพาะตั้งแต่ครึงหลังของทศวรรษ เป็นต้นมาเช่นกัน)

ครั้งแรก ในวันที่ 17 สิงหาคม 2538 ทรงออกมาวิจารณ์ รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ที่เพิ่งตั้งขึ้น ในเรื่องการแก้ปัญหาจราจร (ที่อาจจะน่าสนใจเป็นพิเศษ ถ้าพิจารณาถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน คือ แม้่การวิจารณ์ครั้งนั้น จะทรงพุ่งเป้า ทั้ง สมัคร สุนทรเวช พรรคประชากรไทย และ ทักษิณ ชิณวัตร พรรคพลังธรรม ทีหาเสียงเรือ่งการแก้ปัญหาจราจรเป็นหลัก แต่ในปริบทขณะนั้น ข้อวิจารณ์ของในหลวงมีผลต่อทักษิณ มากกว่า เพราะทักษิณ เพิ่งประกาศอย่างมันใจว่า จะแก้ปัญหาจราจรได้ภายใน 6 เดือน)

ครั้งที่สอง ในวันที่ 19 กันยายน 2538 ทรงออกมาวิจารณ์เรื่องการจัดการปัญหาน้ำ

(นี่คือพระราชดำรัสที่ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ได้นำคลิปวิดีโอ ออกเผยแพร่ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ในระหว่างน้ำท่วมใหญ่)


ผมเห็นว่า พระราชดำรัส 2 ครั้ง ในเวลาเดือนเดียวนี้ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง ทั้งในแงของเนื้อหา (การวิจารณ์รัฐบาลในเรื่อง current affairs ดังที่กล่าวข้างต้น) และในแง่ที่เป็น "จังหวะ" สำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในส่วนที่เกียวกับ "ภาพลักษณ์" ของการเมือง คือ การที่ ผู้นำประเทศขณะนั้น เป็นนักการเมืองพลเรือนทีได้อำนาจมาจากกาารชนะเลือกตั้ง แต่มีปัญหาในเชิง "ความน่านับถือ / ความน่าเชื่อถือ" ส่วนตัว (บรรหาร เป็น "นักการเมืองบ้านนอก" คนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี) - พูดอีกอย่างคือ การ RISE (ขออภัย นึกคำไทยที่เหมาะสมไม่ได้) ของสถาบันกษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ ไม่ได้เกิดขึั้นลอยๆ แต่เกิดขึ้นในปริบทของการที่ ผู้นำ "ฝ่ายการเมือง" มีปัญหาเรื่อง credibility แม้จะได้อำนาจอย่าง "ชอบธรรม" ตามบรรทัดฐานสมัยใหม่ (เลือกตั้ง)

(กรณีวิกฤติเศรษฐกิจ และการปรากฏขึ้น "ข้อเสนอ" เรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" ในอีกไม่กี่ปีต่อมา ก็มีปริบทในลักษณะนี้)


นสพ.ไทยรัฐ 2 ฉบับที่ผมนำมาให้ดูเป็นภาพประกอบนี้ สะท้อนความสำคัญของพระราชดำรัส 2 ครั้งนี้ เป็นอย่างดี ขอให้สังเกตพาดหัวตัวยักษ์ ที่เขียนอย่างตรงๆ ว่า ในหลวง ทรงกำลังวิจารณ์รัฐบาล (ไทยรัฐ ใช้คำว่า "ตำหนิ" ตรงๆ ในกรณีน้ำท่วม - อันที่จริง ใน พระราชดำรัสเรือ่งจราจร ในหลวงเอง ทรงใช้คำว่า "วิจารณ์" (รัฐบาล) ตรงๆ เช่นกัน และ นสพ.บางฉบับ เช่น มติชน ก็พาดหัวโดยใช้คำนี้ตรงๆ)


.............

หมายเหตุ :

(1) กระทู้นี้ เป็นส่วนหนึงของการเตรียมนำเสนอ ในงานสัมมนาเรื่องสถาบันกษัตริย์ ทีผมเคยพูดถึง ที่เดิมจะจัดในเดือนเมษายน แล้วเลื่อนเป็นเดือนนี้ (วันที่ 12-13) แต่ล่าสุด ยังไม่แน่ใจว่า จะสามารถจัดตามเวลาที่ตั้งใจไว้หรือไม่ เพราะ ไม่กีวันที่ผ่านมานี้ ห้องสัมมนา ของคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ทำเรื่องขอใช้ไป ได้รับการปฏิเสธมาอย่างเป็นทางการ ขณะนี กำลังพยายามขอห้องสัมมนา ของอีกคณะหนึ่ง - ปัจจุบัน การขอห้องจัดสัมมนา ในเรื่องสถาบันกษัตริย์ ยากเย็นมากๆ วันก่อน ทีนิติศาสตร์ สามารถมีการจัด (งาน หยุด แสงอุทัย) กว่าจะได้ ก็ลำบากไม่น้อย จัดไปแล้ว ดูเหมือน จะทำให้การจัดครั้งต่อๆไป ลำบากขึ้นอีก


(2) กระทู้นี้ ผมจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษหลายคำ บางคำ ก็ไม่ได้แปล รวมทั้งตัวหัวข้อกระทู้ เพราะหาคำไทยที่เหมาะสม และไม่เสี่ยงต่อ 112 เกินไปไม่ได้ (เป็นปัญหาเสมอ เวลาจะพูดเรืองสถาบันกษัตริย์)